Romantic & Mysterious Scenery in Turkey

Start - End
1 พ.ค. - 11 พ.ค. 2563
Group Size
Max 10  -  Min 1
Season
Spring

Country
Turkey
Route
Accommodation
Meal
Transportation
Physical Rating
Journey Type
Photo Trip
Journey Theme
Landscape, Portraits, Culture, Architecture, Historical

จำนวนวัน
11
(ลางาน 3 วัน)
ราคา
฿53,000
ลูกค้าเก่า 49,900
จำนวนวัน
11
(ลางาน 3 วัน)

ราคา
฿53,000
ลูกค้าเก่า ฿49,900

"Romantic & Mysterious Scenery in Turkey"

Foto Journey ยินดีพาท่านไปชม… ดินแดนสองทวีป “ตุรกี” ที่ขึ้นชื่อด้านเอกลักษณ์ของศิลปะยุคโบราณรวมถึงสถาปัตยกรรมที่หล่อหลอมให้เกิดสิ่งก่อสร้างเลื่องชื่อที่ผสมผสานความเป็นยุโรปและอิสลามเข้าด้วยกันอย่างลงตัว 

เจ้าของสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติและภูมิประเทศอลังการแปลกตาอย่าง ปามุกคาเล หรือ ปราสาทปุยฝ้าย สวยสะกดตาด้วยน้ำตกสีขาวโพลนราวกับแอ่งน้ำบนสวรรค์ 


ตามรอยความยิ่งใหญ่ของการแย่งชิงอำนาจในการศึกสงครามจากนคร Hierapolis ที่ยังคงหลงเหลือซากปรักหักพังให้เราได้มองเห็น เดินทางสู่เมือง Cappadocia ขึ้นบอลลูน ชมทิวทัศน์สุดแสนโรแมนติกจากมุมสูงกับเมืองที่เต็มไปด้วยทัศนียภาพดั่งเทพนิยายและการซ่อนตัวจากการศึกสงครามด้วยการขุดหลุมสร้างเมืองใต้ดิน Underground City 

นอกจากนี้เรายังพาท่านไปเยี่ยมชมมัสยิดสองแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของ 2 ศาสนาระหว่าง St. Sophia Church และ Blue Mosque ที่แม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปี โบสถ์ทั้งสองแห่งนี้ยังคงความงดงามและยิ่งใหญ่อยู่เสมอ พาท่านชมความยิ่งใหญ่ของปราสาท Topkapi และDolmabahce ที่ถือว่าเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่และได้รับการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดของการสร้างพระราชวัง ก่อนจะนำท่านสู่รอยแยกของ 2 ทวีปที่ช่องแคบ Bosphorus ช่องแคบซึ่งแยกตุรกีทั้งสองฝั่งออกจากกันจนแผ่นดินแยกไปอยู่คนละทวีปซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก!
 

และที่สำคัญเราจะพาทุกท่านไปถ่ายรูปในหลายประสบการณ์ หลากเทคนิค โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการภาพถ่าย (Photo Specialist) สอนถ่ายภาพตั้งแต่ระดับพื้นฐาน คอยแนะนำเทคนิค, มุมมอง, องค์ประกอบภาพ รวมถึงการให้คำปรึกษาวิเคราะห์ภาพที่ถ่ายอย่างเป็นกันเอง และ เข้มข้น

Highlight

 Istanbul เมืองที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศตุรกี มีประชากรอยู่หนาแน่นเป็นอันดับ 4 ของโลก
o    Pamukkale หรือ Cotton Castle น้ำตกสีขาวโพลนก่อตัวกันเป็นเนินเขา และลดหลั่นลงมาดังป้อมปราการ สวยงามดุจดั่งนิยาย
o    Hierapolis นครโบราณอายุกว่า 2,200 ปี ที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดกระทั่งล่มสลายด้วยแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในอดีต
o    Cappadocia เมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ในอดีตเคยเกิดการระเบิดของภูเขาไฟจนทับถมกลายเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมาและมีหินรูปทรงแปลกตา
o    Goreme หุบเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ที่ในอดีตเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพสมัยโรมัน
o    St. Sophia Church โบสถ์ทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต้นแบบสถาปัตยกรรมโบสถ์ของคริสต์ศาสนาตะวันตก และได้รับการยกย่องให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
o    Blue Mosque มัสยิดสีน้ำเงิน หนึ่งในสัญลักษณ์ของอิสตันบูล ด้านในประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้า สร้างขึ้นมาเพื่อเอาชนะโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย
o    Topkapi Palace พระราชวังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดของพระราชวังสมัยออตโตมัน 
o    Bosphorus ช่องแคบแห่งอิสตันบูลเขตแดนที่ใช้แบ่งประเทศตุรกิออกเป็น 2 ฝั่ง ใช้สำหรับการเดินเรือระหว่างประเทศ

กำหนดการเดินทาง:

1 พ.ค. - 11 พ.ค. 2563 (11 วัน ลางาน 3 วัน)

รายละเอียดการบิน:

รายละเอียดการบินระหว่างประเทศ

ขาไป
Suvarnabhumi Airport, Bangkok (BKK)
Istanbul International Airport, Turkey (IST)
1 พฤษภาคม 2563
23:00
2 พฤษภาคม 2563
05:20
(ระยะเวลาเดินทาง 1 วัน 10 ชม. 20 นาที. )
Flight TK69 Operate by Turkish Airlines
ขากลับ
Istanbul International Airport, Turkey (IST)
Suvarnabhumi Airport, Bangkok (BKK)
10 พฤษภาคม 2563
20:15
11 พฤษภาคม 2563
09:50
(ระยะเวลาเดินทาง 1 วัน 9 ชม. 35 นาที. )
Flight TK64 Operate by Turkish Airlines

Itinerary

ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบินที่ TK69 (Direct Flight) เวลาเครื่องออก 23:00 น. ระยะเวลาเดินทาง 10 ชม. 20 นาที และถึงสนามบิน Istanbul International Airport เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เวลาท้องถิ่น 05:20 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยเวลาที่ประเทศตุรกีช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง 

เดินทางถึงสถานบิน Istanbul International Airport เมืองอิสตัสบูล ประเทศตุรกี เวลาท้องถิ่น 05.20 น. หลังจากรับกระเป๋าจากสายพานและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เราจะพาท่านไปยังโรงแรมในเมืองอิสตันบูลเพื่อเก็บสัมภาระและรับประทานอาหารเช้า ก่อนจะออกเดินทางไปเที่ยวชมรอบเมืองเพื่อปรับสภาพร่างกายอันแสนเหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นเวลา 1 วันและเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น สำหรับคืนนี้เราจะนอนพักที่เมืองอิสตันบูล



Istanbul

เมืองอิสตันบูลเดิมมีชื่อว่า “คอนสแตนติโนเปิล” เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศตุรกีและทวีปยุโรป เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศตุรกี อิสตันบูลเป็นเมืองเชื่อมทวีปยูเรเชียโดยตั้งระหว่างช่องแคบบอสพอรัส (ซึ่งแยกยุโรปและเอเชีย) ระหว่างทะเลมาร์มาราและทะเลดำ เมืองอิสตันบูลมีชื่อเสียงทางด้านศูนย์กลางการค้าและประวัติศาสตร์ของฝั่งยุโรป ประมาณหนึ่งในสามของประชากรอาศัยอยู่ทางอานาโตเลียหรือฝั่งทวีปเอเชีย โดยมีประชากรทั้งหมดประมาณ 15 ล้านคน นับว่าเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยจัดว่าเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลกและเป็นเมืองในยุโรปที่ใหญ่ที่สุด อิสตันบูลถือว่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างซีกโลกตะวันออกและตะวันตก


ในอดีตเมืองอิสตันบูลก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ ไบแซนไทน์ (Βυζάντιον) บนแหลมซาเรย์บูนู ราว 660 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อเวลาผ่านไปตัวเมืองค่อยๆ ขยายขนาดและอิทธิพลเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามเมืองคงความโดดเด่นด้านการเมืองและศิลปวัฒนธรรม และประชากรในเมืองมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่านับจากปี ค.ศ. 1950 โดยมีผู้อพยพจากทั่วอานาโตเลียย้ายเข้ามาอาศัยในเขตเมือง อีกทั้งยังมีการขยายผังเมืองเพื่อที่จะรองรับประชากรได้มากขึ้น ภายหลังเกิดการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมเส้นทางภายในเมืองมากขึ้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เทศกาลศิลปะดนตรีภาพยนตร์และวัฒนธรรมได้รับการก่อตั้งขึ้นที่นี่ 

วันนี้เราจะตื่นเช้ากันซักนิดนะครับ โดยนัดหมายเดินทางออกจากที่พักเวลา 07.30 น. เพื่อไปสนามบิน Istanbul International Airport, Turkey (IST) เราจะเดินทางด้วยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบิน TK2318 เวลาเครื่องออก 10.00 น. และเดินทางถึง เมืองอิซเมียร์ (Izmir) เวลา 11.20 น. (ระยะเวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที) มุ่งสู่ปามุกคาเล (Pamukkale) ปราสาทปุยฝ้ายสุดแสนมหัศจรรย์และตื่นตาตื่นใจไปกับตะกอนหินปูนที่ก่อตัวกลายเป็นแอ่งและมีธารน้ำแร่ไหลเอ่ออยู่ตลอดเวลา 

หลังจากถ่ายภาพกันอย่างจุใจแล้ว เราจะนำท่านเดินทางสู่ที่พัก และพักผ่อนตามอัธยาศัย สำหรับวันนี้เราจะนอนพักกันที่ปามุกคาเล เมืองอิซเมียร์กันครับ

Izmir

อิซเมียร์ เป็นมหานครในปลายสุดทางตะวันตกของอานาโตเลีย และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3  ในประเทศตุรกี เมืองท่าอิซเมียร์มีความสำคัญต่อการค้าทางทะเลมานานนับพันปี ภายใต้การปกครองของกรีก เมืองนี้มีชื่อว่าสเมียร์นา โดยสามารถรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายเอาไว้ได้ ภายในเมืองเราสามารถเดินตระเวนไปทั่วเมืองอิซเมียร์ มองดูป้ายต่างๆ และฟังเสียงชาวยิว ลิแวนต์ กรีก อาร์เมเนีย และชาวตุรกีสมัยใหม่สนทนากันในเมืองอีกทั้งยังมีผู้คนที่หลากหลายทางวัฒนธรรมอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ รวมถึงร้านอาหารของชาติพันธุ์นำเสนออาหารที่มีรสชาติเฉพาะตัว


จุดเด่นอย่างหนึ่งของอิซเมียร์อยู่ที่ตลาดเคเมราลตึ ซอกซอยวกวนสมัยศตวรรษที่ 17 ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้า เวิร์คช้อปศิลปิน มัสยิดและโบสถ์ยิว ร่วมทัวร์รับประทานที่แวะไปชิมอาหารตามจุดต่างๆ บนถนนที่คดเคี้ยว หรือไปสำรวจลานบ้านที่เงียบสงบและที่พักแบบกองเกวียนโบราณ หอนาฬิกาซาทคูเลสิเป็นสถานที่โดดเด่นที่อยู่ใกล้ๆ

Pamukkale

ในภาษาตุรกีแปลว่าปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) เป็นน้ำตกสีขาวโพลน มีความยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร และสูง 170 เมตร ลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นส่งประกายสะท้อนกับแสงแดดระยิบระยับ บนหน้าผา ด้วยแนวเขาสีขาวบริสุทธิ์ของแร่แคลเซียมที่เกาะตัวอยู่บนเนินเขา ลดหลั่นลงมาดังป้อมปราการเกิดจากน้ำพุร้อนที่มีแร่แคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่เป็นจำนวนมากในธรรมชาติ เกิดจากการก่อตัวของแคลเซียมคาร์บอเนตภายในน้ำที่ไหลตามแร่หินใช้เวลานับหมื่นปีจนกลายมาเป็นน้ำตกสีสันสวยงามให้เราได้ชม น้ำแร่ที่ปามุคคาเลแห่งนี้ได้รับความเชื่อถือมาแต่โบราณกาล มีกิตติศัพท์เลื่องลือว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ มีประโยชน์ดีต่อสายตาและผิวหนัง บรรเทาโรคปวดข้อและหอบหืดได้ชะงัก ทำให้มีผู้คนเดินทางมาใช้น้ำแร่เพื่อบำบัดรักษาโรคกันเป็นจำนวนมาก ปามุกกาเลถูกเลือกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO ในปี ค.ศ. 1988

ออกจากที่พักเพื่อขึ้นเรือชมวิวทิวทัศน์ตลอดชายฝั่งของทะเลรอบแคว้นอันตาเลีย (Antalya)  จากนั้นเรือจะส่งเรากลับเข้าฝั่งเพื่อไปยัง Mermerli Beach ชายหาดหินพร้อมน้ำทะเลสีฟ้าใส เราจะใช้เวลาอยู่ที่หาดนี้จนถึงค่ำเพื่อเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ หลังจากถ่ายภาพเรียบร้อยแล้วเราจะพาท่านไปรับประทานอาหารเย็น และเข้าสู่ที่พักสำหรับวันนี้ โดยเราจะพักกันที่ Mermerli Beach กันครับ



Antalya

เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี เป็นอีกหนึ่งเมืองประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถย้อนกลับไปประมาณ 150 ปีก่อนคริสตกาล สำหรับตัวเมืองนั้นตั้งอยู่บนที่ราบชายฝั่งแคบๆ ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและท้องทะเลอันงดงาม จนนักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนล้วนให้การยกย่องว่าเป็น "ริเวียร่าแห่งตุรกี" เลยทีเดียว



Mermerli Beach

ชายหาดแห่งเดียวของเมืองอัลตัลยาที่สามารถเล่นน้ำได้ ลักษณะเป็นหาดหินที่มีน้ำทะเลใสสะอาด ที่นี่แม้จะมีพื้นที่ไม่กว้างมากแต่มีนักท่องเที่ยวให้ความนิยมอย่างมาก ซึ่งมีบริการเตียงชาดหาดและร่มสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์

ตื่นเช้าร่วมรับประทานอาหารเข้าที่โรงแรม จากนั้นพาท่านไปเยี่ยมชมเมืองโบราณ Hierapolis ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์กร UNESCO และปราสาทปุยฝ้ายหรือปามุคคาเล (Cotton Castle / Pakukkale) กันครับ หลังจากบันทึกภาพที่ปามุกคาเลกันเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางสู่เมือง Konya เพื่อเยี่ยมชม Mevlana Museum พิพิธภัณฑ์สำคัญของเมืองคอนยา ที่ซึ่งเป็นสุสานของเมฟานา เจลาเลดดิน 

ในช่วงพลบค่ำเราจะพาท่านดื่มด่ำไปกับอาหารท้องถิ่นที่เมือง Konya และพักผ่อนตามอัธยาศัยกันครับ สำหรับคืนนี้เราจะนอนกันที่เมือง Konya เพื่อเก็บแรงไปสู้กันต่อในวันถัดไปครับผม

Hierapolis

นครโบราณเฮียราโปลิส Hierapolis สันนิษฐานกันว่ามีอายุประมาณ 2,200 ปี เพราะถูกสร้างขึ้นก่อนคริสตกาล ในยุคของกษัตริย์ยูเมเนสที่ 2 แห่งอาณาจักรเพอร์กามอน โดยสร้างให้อยู่ใกล้กับแอ่งน้ำแร่ร้อนปามุคคาเลย์ แต่หากถอดความคำว่าเฮียราโพลิส หมายถึง เมืองแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับเมืองทุกเมืองที่มียุครุ่งโรจน์ และยุคเสื่อมถอย เฮียราโพลิสเองก็เป็นแบบนั้น หลังจากเมืองนี้ถูกยกให้พวกโรมัน ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงจนเมืองย่อยยับ ประมาณปลายศตวรรษที่ 2 เฮียราโพลิส ค่อยๆ ถูกบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ จนก้าวสู่ศตวรรษที่ 3 ด้วยความรุ่งโรจน์อย่างหาเมืองไหนเปรียบได้ยาก แต่เวลาเคลื่อนไปถึงศตวรรษที่ 7 ก็ถึงยุคเสื่อม เมื่อถูกข้าศึกต่างถิ่นรุกราน นอกจากนี้ยังได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว  ภายในเมืองโบราณมีสถานที่น่าสนใจ เช่น โรงอาบน้ำ โรงละคร วิหาร โบสถ์ ป้อมปราการ ตลาด และสถาปัตยกรรมทางการขนส่งอีกมากมาย

Cotton Castle

รู้จักกันในอีกชื่อคือปามุกคาเล (Pamukkale) น้ำตกสีขาวโพลน มีความยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร และสูง 170 เมตร ลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นส่งประกายสะท้อนกับแสงแดดระยิบระยับ บนหน้าผา ด้วยแนวเขาสีขาวบริสุทธิ์ของแร่แคลเซียมที่เกาะตัวอยู่บนเนินเขา ลดหลั่นลงมาดังป้อมปราการเกิดจากน้ำพุร้อนที่มีแร่แคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่เป็นจำนวนมากในธรรมชาติ เกิดจากการก่อตัวของแคลเซียมคาร์บอเนตภายในน้ำที่ไหลตามแร่หินใช้เวลานับหมื่นปีจนกลายมาเป็นน้ำตกสีสันสวยงามให้เราได้ชม น้ำแร่ที่ปามุคคาเลแห่งนี้ได้รับความเชื่อถือมาแต่โบราณกาล มีกิตติศัพท์เลื่องลือว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ มีประโยชน์ดีต่อสายตาและผิวหนัง บรรเทาโรคปวดข้อและหอบหืดได้ชะงัก ทำให้มีผู้คนเดินทางมาใช้น้ำแร่เพื่อบำบัดรักษาโรคกันเป็นจำนวนมาก ปามุกกาเลถูกเลือกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO ในปี ค.ศ. 1988

​Konya

เมืองคอนย่าตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบสูงอนาโตเลียกลาง ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจุก ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งแรกของพวกเติร์กบนแผ่นดินตุรกี ในช่วงปี 1071-1275 ทำให้สถาปัตยกรรมแบบเซลจุกดั้งเดิมมีให้เห็นอย่างโดดเด่นที่นี่ และยังเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของนิกายเมฟเลวี ที่ถือกำเนิดมาจากการก่อตั้งของเมฟลานา เยลาเลดิน ผู้ซึ่งเป็นกวีชาวอัฟกานิสถานที่ทำให้ชาวคริสต์จำนวนไม่น้อยหันมานับถือศาสนาอิสลาม เขาจึงเปรียบเหมือนผู้วิเศษในสายตาเหล่าสาวก


ทุกกลางเดือนธันวาคมโรงแรมในคอนยาจะถูกจับจองอย่างเต็มเหยียด เพราะเหล่าสาวกของนิกายเมฟลาวีจะมาร่วมพิธีซีมา หรือการเฉลิมฉลองเพื่อร่วมรำลึกถึงเมฟลานา โดยการเต้นรำเดอร์วิช ทุกคนจะนุ่งกระโปรงสีขาวบานกรอมเท้า หมุนตัวเข้ากับเสียงดนตรี

Mevlana Museum

ในอดีตพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของสำนักพวกเดอร์วิช (Dervish) มีหน้าที่ในการชักชวนพลเมือง ชาวคริสต์ในคาบสมุทรอนาโตเลียนับถือศาสนาอิสลามและลดช่องว่างระหว่างราษฎรกับผู้ปกครองชาวเซลจุก สำนักแห่งนี้ก่อตั้งในปี 1774 โดยเมฟลานา เจลาเลดดิน รูมี (Mevlana Celaleddin Rumi) ถูกยกย่องให้เป็นผู้วิเศษในศาสนาอิสลาม ที่นี่มักใช้ประกอบการทำสมาธิ โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ยส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟานาเจลาเลดดิน อาจารย์ทางปรัชญาประจำราชสำนักแห่งสุลต่านอาเลดิน เคย์โคบาท ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส ภายในประดับฝาผนังแบบมุสลิม ตัวสุสานเมฟลานาสวยงามด้วยสวนกุหลาบหลากสีล้อมรอบอาคารคล้ายมัสยิดขนาดใหญ่ ภายในมีทางเดินเข้าไปเคารพหลุมฝังศพของท่านและบุคคลสำคัญเป็นโลงศพหินจำนวนมาก และยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดา และบุตร ของเมฟลานาด้วย 

หลังจากตื่นนอนกันแล้ว เราจะร่วมรับประทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวเดินทางกันต่อไปที่เมือง Cappadocia เพื่อเยี่ยมชมและร่วมบันทึกภาพ Sultanhani Caravanserai หรือ Caravanserai Sulta Han โรงเตี๊ยมสมัยโบราณที่มีขนาดใหญ่รูปทรงเป็นป้อมสีเหลี่ยมจัตุรัส สามารถจุคนได้มากกว่าพันคน ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตระหง่านและมีการออกแบบที่งดงามด้วยศิลปะเซลจุค จากนั้นหามีเวลามากพอจะพาท่านเยี่ยมชมโรงงานทอพรม (Carpet Factory) หรือ โรงงานเซรามิก หรือ โรงงานจิวเวลรี่ หรือ จุดชมวิวของเมือง

เก็บภาพเรียบร้อยแล้ว พาท่านรับประทานอาหารเย็นที่โรงแรมในช่วงค่ำ จากนั้นเราจะพาท่านไปชม การแสดงระบำหน้าท้อง (Belly Dance) และพักผ่อนตามอัธยาศัยกันในตัวเมือง จากนั้นกลับมาพักผ่อนกันที่โรงแรมใน เมือง Cappadocia กันครับ 

Cappadocia

เมืองคัปปาโดเจีย เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส มีความสำคัญมาแต่โบราณกาลเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมเส้นทางค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ทอดยาวจากตุรกีไปจนประเทศจีน เป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาล กระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแสน้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ ได้ร่วมด้วยช่วยกันกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อบๆ นับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวย (คว่ำ) ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย จนชนพื้นเมืองเรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimney)

Sultanhani Caravanserai

โรงเตี๊ยมหรือโรงแรมในอดีต สร้างขึ้นโดยสุลต่านอาเลดดิน เคย์โคบาท ราวศตวรรษที่ 13 ประตูทำด้วยหินอ่อนสกัดลวดลายโบราณ ตรงกลางเป็นสุเหร่า ส่วนบริเวณอื่นจัดเป็นครัว ห้องน้ำ และห้องนอน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กองคาราวานสินค้า ที่มีทั้งคน ม้า ลา ล่อ อูฐ ได้พักผ่อนค้างคืนให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย คาราวานซารายจึงทำหน้าที่เป็นป้อมด้วย และมีอยู่นับพัน ๆ แห่งตลอดเส้นทางสายไหมเชื่อมจากเอเชียตะวันออก เอเชียกลาง เปอร์เชีย ผ่านตุรกี ไปสู่ยุโรป สำหรับคาราวานซารายของสุลต่านฮันนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นป้อมที่มีขนาดใหญ่โตมาก จุผู้คนได้หลายพันคน โดยวางผังสร้างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงยากแก่การปีนป่าย โดยมีทางเข้าด้านหน้าทางเดียว ตรงประตูทางเข้าสร้างด้วยซุ้มหินอ่อนสูงถึง 13 เมตร จำหลักลายซับซ้อนงดงามด้วยศิลปะเซลจุUnderground City of Cappadocia

นครใต้ดินไคมัคลีเกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู ในยามสงคราม ของชาวคัปปาโดเจียในอดีต โดยทั้งจากชาวอาหรับจากทางตะวันออกที่ต้องการเข้ามายึดครองดินแดนนี้เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า และชาวโรมันจากทางตะวันตกด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมทั้งต้องการที่จะหยุดยั้งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในดินแดนแถบนี้ด้วย นครใต้ดินไคมัคลึมีชั้นล่างที่ลึกที่สุด ลึกถึง 85 เมตรทีเดียว เมืองใต้ดินแห่งนี้มีครบเครื่องทุกอย่างทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้น แต่ว่าอากาศในนั้นถ่ายเทเย็นสบาย หน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น มีอุณหภูมิเฉลี่ย 17-18 องศาเซลเซียส และด้วยการออกแบบที่ดี มีทางออกฉุกเฉินที่เป็นทางระบายอากาศไปในตัว ทำให้อากาศถ่ายเทอย่างสะดวกและรู้สึกสบายตัวเมื่ออยู่เป็นระยะเวลานาน

Carpet Factory

ที่โรงงานแห่งนี้คือหนึ่งในโรงงานที่ผลิตสุดยอดงานหัตถกรรมของตุรกีที่ทั่วโลกรู้จัก ซึ่งพรมของที่นี่มีคุณภาพไม่แพ้พรมจากที่ใดทั่วทุกมุมโลก ที่นี่เป็นทั้งแหล่งผลิตและจำหน่ายพรมตุรกีทอมือดั้งเดิมแท้ๆ ด้วยฝีมือช่างทอพรมกว่า 300 คน (ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้หญิง) ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านรอบๆ และบางคนสามารถยกระดับตัวเองจากช่างทอพรมธรรมดาให้กลายเป็นศิลปินได้ในที่สุดจนสามารถขายได้ราคาดีเลยทีเดียว พรมตุรกีมีความพิเศษตรงที่เป็นการทอแบบใช้ผูกปมสองชั้นให้สมมาตรวัสดุที่ใช้มีทั้งฝ้าย ไหม และขนสัตว์ ประโยชน์ใช้สอยแต่เดิมคือพรมปูพื้นบ้านให้อบอุ่นในฤดูหนาว และใช้ปูพื้นทำพิธีละหมาด ส่วนการทอพรมเป็นรูปแปลก ๆ หรือใช้ตกแต่งฝาบ้านเหมือนปัจจุบัน ก็เพิ่งจะทำกันภายหลัง และพรมชนิดหนึ่งซึ่งถือว่าพิเศษ ใช้กันแพร่หลายในแถบเอเชียไมเนอร์ (ตุรกี-อิหร่าน-อิรัก) ก็คือ พรมคิลิม (Kilim) ที่ทอขึ้นโดยไม่มีการผูกปม แต่ใช้เส้นด้ายแนวตั้งแนวนอน สอดสลับกันไปมาเป็นลวดลาย คิลิมจึงบางกว่าพรมทั่วไป ทว่านุ่ม และมักใช้เป็นพรมสำหรับการทำละหมาด

Belly Dance Show

หลายท่านอาจเคยเห็นการระบำหน้าท้องมาก่อนทั้งในประเทศ หรือต่างประเทศเรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่เห็นครั้งเดียวก็จำได้เลย เพราะทั้งสวย เซ็กซี่ น่าตื่นเต้น และดนตรีก็ยังสนุกสนาน ด้วยจังหวะของเพลงที่ติดหูและมีความสนุกสนาน และพอเห็นชุดที่เหมือนการนุ่งสาหรี่แบบนั้น หลายคนก็พาลนึกไปว่านี่เป็นศิลปะของชาวอินเดีย แต่จริงๆ แล้วระบำหน้าท้องเป็นศิลปะของเมดิเตอริเนียนและอียิปต์หลายพันปีมาแล้ว จากนั้นก็กระจายไปตุรกีเลยไปตะวันออกกลางและอียิปต์ และแต่ละที่ก็มีประเพณีการเต้นและความหมายที่แตกต่างไปบ้าง ในตะวันออกกลางการเต้นระบำหน้าท้องมีทั้งการเต้นเพื่อความบันเทิงในสังคมและการเต้นโชว์ ในการเต้นเข้าสังคมนั้น มีคนเต้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และการเต้นก็จะแยกเพศกัน เป็นกลุ่มชาย กลุ่มหญิง และชุดที่เต้นก็ไม่ได้เป็นชุดยาวฟรุ้งฟริ้งอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน การเต้นระบำหน้าท้องแบบตุรกี เป็นการเต้นจังหวะรวดเร็ว และมีพลัง และก็เป็นประเพณีของกลุ่ม Romani ซึ่งเป็นกลุ่มเร่ร่อนหรือชาวยิปซีนั่นเอง และตลอดเวลาที่วัฒนธรรมการเต้นระบำหน้าท้องถูกส่งต่อออกไป ก็ได้พัฒนาเทคนิคการเต้น และสร้างสรรค์ชุดสวยงามแปลกใหม่อีกด้วย


ในวันนี้เราจะอยู่กันต่อที่เมือง Cappadocia อีกวัน เพื่อบันทึกภาพมุมเมืองต่างๆ หลังจากนั้นเราจะกลับมาที่โรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเช้ากันก่อนที่จะไปเก็บภาพตามบริเวณในเมืองกันต่อครับ และในตอนบ่ายเราจะมีช่วงพักจิบชากันที่ Tipik Turkevi, Uchisar เป็นคาเฟ่ที่สวยแปลกตาด้วยการนำเอาบ้านที่สร้างจากดินเหนียวในบริเวณระเบียงเป็นที่รับรองลูกค้า และได้วิวที่สวยงามแปลกตามาก ในช่วงค่ำเราจะมารับประทานอาหารเย็นกันที่ Seki Restaurant และกลับสู่ที่พักโดยวันนี้เราจะพักกันที่เมือง Cappadocia กันอีก 1 คืนครับ

Tipik Turkevi, Uchisar

ร้านพักผ่อนในช่วงระหว่างวันที่นิยมเป็นสถานที่จิบเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรืออาหารทานเล่น ซึ่งมีความโดดเด่นอยู่ที่ลักษณะของบ้านโดยคาเฟ่นั้นเป็นบ้านคนจริงๆ ที่มีผู้อาศัยอยู่ แต่จะมีการแบ่งโซนระเบียงบ้านเป็นที่ต้อนรับลูกค้า จากจุดนี้เราสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์รอบตัวที่สวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งลักษณะบ้านจะเป็นปล่องๆ เหมือนจอมปลวกและมีการเจาะรูสำหรับใช้เป็นประตูเดินทะลุไปห้องอื่นๆ รวมถึงเจาะทำหน้าต่างและช่องลมด้วย 

ตื่นตอนกันในช่วงเช้าเราจะร่วมรับประทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม สำหรับในวันนี้เราจะถ่ายภาพ บอลลูน (Balloon) กับเมือง Cappadocia เพื่อให้ได้บอลลูนคู่กับแสงเช้า จำเป็นต้องต้องตื่นกันตั้งแต่มืดประมาณ ตี 4 เพื่อไปให้ทันแสงเช้าที่จะขึ้นมาราวตี 5 ครึ่งครับผม 

ในช่วงสายเราจะเดินทางกันต่อไปที่เมือง Goreme เพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Goreme Open Air Museum พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งเกอเรเม หนึ่งในมรดกโลกที่ได้รับการประกาศในปี ค.ศ. 1985 และรับประทานอาหารท้องถิ่นในช่วงเที่ยงของวัน 

จากนั้นขอให้ทุกท่านเตรียมตัวเก็บสัมภาระ พร้อมเดินทางไปสนามบิน Kayseri Erkilet Airport, Turkey (ASR) เราจะเดินทางด้วยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบิน TK2015 กำหนดเครื่องออกเวลา 18.30 น. เดินทางถึงเมืองอิสตันบูล เวลา 20.10 น. (ระยะเวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 40 นาที) ร่วมรับประทานอาหารเย็นและเข้าสู่ที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัยกันที่เมืองอิสตันบูล

**หมายเหตุ**

ในเช้าวันนี้ สำหรับใครที่ต้องการขึ้นบอลลูนสามารถแจ้งกับทีมงานได้ครับ โดยมีค่าบริการแยกต่างหาก โดยนัดหมายเวลาเดินทางที่ 03.30 น. เพื่อไปรอขึ้นบอลลูนขึ้นชมเมือง Cappadocia จากมุมสูง

Goreme

เกอเรเมเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณแคปพาโดเซียในตอนกลางของอานาโตเลียในประเทศตุรกี เดิมมีชื่อเรียกหลากหลาย “Korama”, “Matiana”, “Maccan” และ “Avcilar” เมื่อหุบเขาเกอเรเมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ชื่อเมืองก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น “เกอเรเม” เพื่อความสะดวก เมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง “อุทยานแห่งชาติแห่งเกอเรเม” ซึ่งไดัรับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 1985

เกอเรเมตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยโรมัน และเป็นที่ที่ชาวคริสเตียนยุคแรกใช้ในการเป็นที่หลบหนีภัยจากการไล่ทำร้ายและสังหารก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเป็นศาสนาที่ได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาของจักรวรรดิ ที่จะเห็นได้จากคริสต์ศาสนสถานจำนวนมากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้

Goreme Open Air Museum

พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งเกอเรเม เป็นที่ตั้งของโบสถ์หลายแห่งซึ่งแกะสลักเข้าไปในหิน และเป็นผลงานของนักบวชคริสต์ในยุคกลาง ที่นี่เราจะได้เดินสำรวจสถานที่ทางประวัติศาสตร์เพื่อชมภาพวาดฝาผนังที่น่าสนใจจากสมัย 1,000 ปีก่อน และเรียนรู้เกี่ยวกับชาวไบแซนไทน์ที่สร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ มรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การยูเนสโกแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ดึงดูดผู้มาเยือนภูมิภาคแคปพาโดเชีย เนื่องจากมีทิวทัศน์ตระการตา ภูมิประเทศที่หลากหลาย และสถานที่ทางจิตวิญญาณอันเกิดจากการสลักหิน ชมโบสถ์อันลึกลับที่แกะสลักเข้าไปในหินใหญ่ให้ทั่ว Karanlik Kilise (Dark Church) เป็นไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์นี้ เนื่องจากมีภาพวาดฝาผนังที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ชมสำนักชีที่ภายในมีโบสถ์ ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว และห้องอื่นๆ อีกมากมายในพื้นที่ 7 ชั้น


ร่วมรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ในวันนี้เราจะพาท่านเยี่ยมชมโรงงานเครื่องหนัง (Leather Factory) ซึ่งเครื่องหนังของตุรกีมีชื่อเสียงโด่งดังและมีคุณภาพมากที่สุด ชมแฟชั่นโชว์เครื่องหนังก่อนที่จะพาท่านไปต่อที่ โบสถ์ St. Sophia และ Blue Mosque มัสยิดที่สวยงามและอลังการที่สุดของตุรกีที่จะพลาดไม่ได้ (สำหรับสุภาพสตรีที่ต้องการเข้าไปเยี่ยมชมบริเวณด้านในจะต้องคลุมศีรษะเพื่อปิดบังเส้นผม ซึ่งมีบริการฟรีบริเวณประตูทางเข้าของมัสยิด) 

ในช่วงเที่ยงเราจะร่วมรับประทานอาหารท้องถิ่นกันที่นี่ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ Topkapi Palace พระราชวังที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล จากนั้นในช่วงเย็นพาท่านกลับสู่โรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยใน เมืองอิสตันบูล (Istanbul)

St. Sophia Church

โบสถ์ทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อเรียกกันอีกชื่อว่า ฮาเกีย โซเฟีย (Hagia Sophia) แห่งนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เป็นต้นแบบสถาปัตยกรรมโบสถ์ของคริสต์ศาสนิกชนตะวันตก ยุคไบเซนไทน์ (Byzantine) ทั้งนิกายออร์โธดอกซ์ และคาทอลิกกรีก และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ก่อนจะได้รับคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายให้เป็น 1 ใน 21 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2007 คำว่า “Hagia Sophia” มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Holy Wisdom” หรือ “ภูมิปัญญาศักดิ์สิทธิ์” เป็นชื่อทฤษฎีในคริสตวรรษที่ 4 อุทิศแด่พระเยซูคริสต์ เดิมทีเดียวได้รับการขนานนามว่า “มหาโบสถ์” (The Great Church” เนื่องจากมีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับโบสถ์คริสต์ทั่วโลกในยุคนั้น โดยสุเหร่าฮาเกียโซเฟียเป็นสุเหร่าหลักของเมืองอิสตันบูลยาวนานกว่า 500 ปี ก่อนรัฐบาลตุรกีจะดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1935 ความโดดเด่นของที่นี่คือยอดโดมขนาดใหญ่และความงดงามของสถาปัตยกรรมการตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างศิลปะไบแซนไทน์กับศิลปะออตโตมันเข้าด้วยกัน

Blue Mosque

มัสยิดสุลต่านอาห์เม็ดหรือสุเหร่าสีน้ำเงิน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 – 1616 มีแรงบันดาลใจการสร้างมาจากการต้องการเอาชนะหรือสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียของคริสต์ เพราะแต่เดิมนั้น วิหารเซนต์โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ทำให้สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์ต้องการกสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ให้เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ โดยมัสยิดแห่งนี้มีหอเรียกสวด อยู่ 6 หอ เป็นหอคอยสูงให้ผุ้นำศาสนาขึ้นไปตะโกนร้องเรียกจากยอด เพื่อให้ผู้คนเข้ามสวดมนต์ตามเวลาในสุเหร่า  ชื่อสุเหร่าสีน้ำเงินภายในประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิค ลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆ เช่นกุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น เป็นต้น ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ภายในมีที่ให้สุลต่านและนางในฮาเร็มทำละหมาดและสวดมนต์โดยเฉพาะ มีหน้าต่าง 260 บาน สนามด้านหน้าและด้านนอกจะเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์และจะมีสิ่งก่อสร้างที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทั่วไป เช่นโรงเรียนสอนโกหร่น ห้องสมุด โรงพยาบาล โรงอาบน้ำ ที่พักกองคาราวาน โรงครัวสาธารณะคุลีเรีย (Kulliye)

Topkapi Palace

พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) สร้างโดยสุลต่านเมห์เมดที่ 2 หลังจากพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี ค.ศ. 1996 ทรงตัดสินใจสร้างพระราชวังบนเนินเขาลูกที่ 3 ใน 7 เนินของเมืองนี้ ทรงประทับเพียงไม่นานก็ย้ายไปสร้างใหม่บนเดินเขาลูกที่ 1 โดยสร้างกำแพงขนาดใหญ่ตามแนวชายทะเลนับตั้งแต่ทะเลมาร์มาราเรื่อยไปจนถึงโกลเดนฮอร์น เพื่อเป็นป้อมปราการกันข้าศึกจากทะเล ตามแนวกำแพงมีประตูมีป้อมปืนอยู่เป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ 2 กระบอก ที่เตรียมพร้อมจะยิงเรือทุกลำที่เข้ามารุกล้ำในรัศมี เรียกว่าประตูปืนใหญ่ ในภาษาเติร์กเรียกว่า ทอปกาปี (Topkapi) แปลว่าประตูปืนใหญ่

พระราชวังแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

พระราชวังชั้นนอก (Outer Palace) หรือบีรูน (Birun) เป็นสถานที่ออกว่าราชการ ต้นรับแขกเมือง โรงครัว อุทยาน สวนดอกไม้ เป็นต้น

พระราชวังชั้นใน (Inner Palace) หรือเอนเดรูน (Enderun) เป็นสถานที่ต้องห้าม ผู้ชายห้ามเข้า เป็นที่พำนักมเหสี เหล่าสนม นางใน และลูกหลานของสุลต่าน

ฮาเร็ม (Harem) หรือส่วนที่พักอาศัยของผู้หญิง ซึ่งมาในฐานะเครื่องบรรณาการที่ถวายแด่สุลต่าน บ้างก็มาในฐานะเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมา


สำหรับในวันนี้เรามีความยินดีพาท่านเยี่ยมชมพระราชวังอีกแห่งที่สวยงาม Dolmabahce Palace พระราชวังที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งยุโรปของบอสพอรัส (Bosphorus) สร้างขึ้นเพื่อแทนพระราชวัง Topkapi ที่เก่าและไม่ทันสมัย เราจะบันทึกภาพความสวยงามของพระราชวังแห่งนี้กันจนถึงช่วงเที่ยง จากนั้นพาท่านรับประทานอาหารกลางวันเพื่อไปชมการล่องเรือที่ช่องแคบ Bosphorus (Bosphorus Cruise) หรือที่รู้จักกันในชื่อช่องแคบอิสตันบูล 

พาท่านช็อปปิ้งที่ตลาดเครื่องเทศ Spice Market เพื่อหาซื้อของฝากหรือสินค้าที่ท่านสนใจ จากนั้นขอให้ทุกท่านเตรียมตัวเก็บสัมภาระ พร้อมเดินทางไปสนามบิน Istanbul International Airport เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยเราจะเดินทางด้วยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบิน TK64 กำหนดเครื่องออกเวลา 20.15 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ เวลาท้องถิ่น 09.50 น. ของวันถัดไป รวมระยะเวลาเดินทาง 9 ชั่วโมง 35 นาที

Dolmabahce Palace

พระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Palace) ตั้งอยู่บนชายฝั่งยุโรปของบอสพอรัส (Bosphorus) ในเขตเบซิคตัส (Beşiktaş) ของนครอีสตันบูล ประเทศตุรกี พระราชวังถูกสร้างขึ้นโดยสุลต่านอับดุล เมจิดที่ 1 ในปี ค.ศ. 1843 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1856 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนพระราชวังเบซิคตัสซาที่ถูกทำลายไปก่อนหน้าและเพื่อแทนที่พระราชวังโทพคาปี (Topkapı Palace) ซึ่งล้าสมัยและไม่มีความสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับพระราชวังในยุโรปในยุคนั้น พระราชวังโดลมาบาเชทำหน้าที่เป็นพระราชวังหลักและศูนย์กลางการปกครองของจักรวรรดิออตโตมันให้กับสุลต่านถึง 6 รัชสมัย Dolmabahçe Palace เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศตุรกี มีพื้นที่กว่า 45,000 ตารางเมตร พระราชวังถูกออกแบบด้วยองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม แบบผสมผสานกันของสไตล์บาร็อค (Baroque), โรโกโก (Rococo), นีโอคลาสสิก (Neoclassical) และออตโตมันแบบดั้งเดิม สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรม และศิลปะยุโรป ที่มีผลต่ออาณาจักรออตโตมันในช่วงเวลานั้น

Bosphorus Cruise 

ช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Cruise) เป็นที่รู้จักกันสำหรับชาวตุรกี ในอีกชื่อหนึ่งว่า “ช่องแคบอิสตันบูล (İstanbul Boğazı)” เป็นช่องแคบที่เป็นเขตแดน แบ่งประเทศตุรกีออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งยุโรปที่เรียกว่า “รูมีเลีย (Rumelia)” และฝั่งเอเชียที่เรียกว่า “อนาโตเลีย (Anatolia)”

ช่องแคบที่ใช้สำหรับ การเดินเรือระหว่างประเทศ โดยเชื่อมต่อทะเลดำ (Black Sea) กับทะเลมาร์มารา (Sea of Marmara) ซึ่งทะเลมาร์มารานั้น จะเชื่อมต่อกับช่องแคบดาร์ดะเนลส์ (Dardanelles) เพื่อไปยังทะเลอีเจียน (Aegean Sea) และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตามลำดับ ช่องแคบบอสฟอรัส มีความยาวประมาณ 30 กม. และมีความลึกแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 36 ถึง 124 เมตร ในบริเวณตอนกลาง ส่วนที่แคบที่สุดอยู่บริเวณ ที่คั่นระหว่าง Kandilli และ Aşiyan ซึ่งมีความกว้าง 700 เมตร และส่วนที่กว้างที่สุด 3,700 เมตร อยู่ที่ทางเข้าด้านเหนือ

เดินทางถึงประเทศไทย ใช้ระยะเวลาเดินทาง 9 ชั่วโมง 35 นาที และถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ ช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563  ในเวลาท้องถิ่น 09.50 น.

รายละเอียดค่าบริการ และ การชำระเงิน

ราคาปกติ 53,000 พิเศษ!!! สำหรับลูกค้าเก่า Foto Journey ราคาเพียง 49,900 บาท


เงื่อนไขการจองและการชำระเงิน

ณ วันที่จอง : ชำระมัดจำงวดแรก จำนวน 15,000 บาท

ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 : ชำระมัดจำงวดที่ 2 จำนวน 25,000 บาท

ภายในวันที่ 15 มีนาคม 2563 : ชำระส่วนที่เหลือทั้งหมด

***โดยบริษัทถือลำดับการชำระเงิน เป็นสำคัญ ในการยืนยันสิทธิ์การเดินทาง สำหรับลูกค้าที่เดินทางท่านเดียว ทางบริษัทจะจัดหารูมเมทให้โดยไม่จำเป็นต้องชำระค่าใช้จ่ายสำหรับพักเดี่ยวแต่อย่างใด***

INCLUSION

- ค่าที่พักตลอดการเดินทาง (พักห้องคู่)
- ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ จาก Istanbul เดินทางไปยัง Izmir
- ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ จาก Goreme เดินทางไปยัง Istanbul
- ค่าอาหารทุกมื้อ
- ค่าชมการแสดงระบำหน้าท้อง (Belly Dance)
- ค่าล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ตลอดชายฝั่งของทะเลรอบแคว้นอันตาเลีย (Antalya)  
- ค่าเข้าเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆที่ระบุไว้ในโปรแกรม
- ค่ายานพาหนะ, น้ำมัน, ที่จอดรถ, ทางด่วนและอื่นๆ ที่ใช้ในการเดินทาง
- บริการถ่ายภาพและสอนการถ่ายภาพตลอดการเดินทาง
- ค่าประกันภัยการเดินทางอุบัติเหตุ วงเงินรวมสูงสุด 2,000,000 บาท เงื่อนไขตามรายละเอียดในกรมธรรม

EXCLUSION

- ตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ

- ค่าบริการขึ้นบอลลูนชมเมือง Cappadocia จากมุมสูง

- ค่านำกล้อง หรือ ขาตั้งกล้อง เข้าไปถ่ายในแต่ละสถานที่ (ถ้ามี)

- ค่าทิปไกด์ท้องถิ่น คนขับรถ

- ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ นอกเหนือรายการ เช่น ค่าเครื่องดื่ม มินิบาร์ ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด เป็นต้น

- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดการณ์

การชำระเงินค่าเดินทาง


กสิกรไทย
ออมทรัพย์ เซ็นทรัลพลาซ่า แกรนด์ พระราม9
เลขที่บัญชี
037-2-57628-6
ชื่อบัญชี
บริษัท โฟโต้ เจอร์นี่ จำกัด

ไทยพาณิชย์
ออมทรัพย์ เซ็นทรัลพลาซ่า แกรนด์ พระราม9
เลขที่บัญชี
408-825346-9
ชื่อบัญชี
บริษัท โฟโต้ เจอร์นี่ จำกัด

หลังจากโอนเงิน

กรุณาส่งใบโอนเงินไปที่

Line: FotoJourney หรือ

Inbox Facebook: FotoJourneyTH

Important Note

-ทริปนี้เป็นทริปที่เป็นลักษณะ Photo Trip จะเน้นถ่ายรูปแสงเช้า แสงเย็น เป็นหลัก ดังนั้น แผนเดินทางอาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อให้ทุกท่านได้ถ่ายภาพตามให้มากที่สุด

เงื่อนไขการยกเลิกทริป


กรณีที่ลูกค้าไม่สะดวกเดินทางและมีความจำเป็นต้องยกเลิกการเดินทาง และมีการยกเลิกการเดินทาง

ยกเลิกก่อนวันเดินทาง 90 วัน หัก 23,000 บาท

ยกเลิกก่อนวันเดินทาง 45-90 วัน หัก 34,000บาท

ยกเลิกก่อนวันเดินทาง 15-45 วัน หัก 42,000 บาท

ยกเลิกก่อนวันเดินทาง 15 วัน ไม่สามารถคืนเงินได้ยกเว้นเงินรีฟันด์ตั๋วเครื่องบินให้ลูกค้าตามเงื่อนไขของสายการบินนั้นๆ

หมายเหตุ : ในกรณีที่ค่าทริปรวมตั๋วเครื่องบิน บริษัทจะทำการคืนเงินรีฟันด์ตั๋วเครื่องบินให้ลูกค้าตามเงื่อนไขของสายการบินนั้นๆ

ในกรณีที่ประเทศที่ไปต้องมีการของวีซ่า การยกเลิกทริปเนื่องจากลูกค้ายื่นวีซ่าไม่ผ่านหลังจากชำระมัดจำทริปแล้ว ให้ใช้เงื่อนไขเดียวกับการยกเลิกทริปโดยลูกค้า แนะนำให้ลูกค้าหลังจากจองทริปไปแล้วควรไปขอวีซ่าแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะเมื่อเกิดปัญหาเรื่องวีซ่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ง่ายกว่าการขอวีซ่าแบบกระชั้นชิด

กรณีที่บริษัทฯ ยืนยันการออกเดินทางแล้ว ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธ์ในการเก็บค่าใช้จ่ายตามที่ระบุไว้

กรณีที่ท่านยกเลิกการเดินทาง และ มีผลทำให้คณะเดินทางไม่ครบตามจำนวนที่บริษัทฯกำหนด เนื่องจากเกิดความเสียหายต่อบริษัทฯ และ ผู้เดินทางท่านอื่นๆที่เดินทางในคณะเดียวกัน บริษัทฯต้องนำไปชำระค่าเสียหายต่างๆที่เกิดจากการยกเลิกของท่าน


 


ความรับผิดชอบ และ เงื่อนไขอื่นๆ


ในกรณีที่ทริปต้องถูกยกเลิกการเดินทาง ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น เกิดการก่อการร้าย เกิดความไม่สงบ เกิดการประท้วง เกิดจากภัยธรรมชาติทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ หรือเหตุอื่นๆที่ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย โดยถือว่าการตัดสินใจยกเลิกการเดินทางเป็นสิทธิ์ขาดของทางบริษัท ทางบริษัทยินดีที่จะคืนค่าทริปที่ลูกค้าจ่ายมาทั้งหมด ยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก หรืออื่นๆที่มีการดำเนินการชำระเงินไปแล้ว

บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบใดๆ ที่เกิดจากความล่าช้าของสายการบิน เหตุการณ์ทางการเมือง การปฏิเสธการเข้าเมือง การโดนกักตัว หรือถูกส่งตัวกลับ ความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าใบเล็ก หรือของมีค่าส่วนตัวของท่านระหว่างการเดินทาง โดยสิทธิประโยชน์ของท่านจะได้รับตามกรมธรรม์ประกันการเดินทางที่ระบุความรับผิดชอบไว้เท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยืดถือผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสําคัญ แต่ไม่สามารถคืนเงินค่าทริปให้ท่านได้

และหากเกิดเหตุสุดวิสัยดังต่อไปนี้ ทางบริษัทไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายต่างๆ ที่อยู่เหนือการควบคุมของเจ้าหน้าที่บริษัทฯ อาทิ

o การนัดหยุดงาน การจลาจล เปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาในตารางบิน ภัยธรรมชาติ ฯลฯ หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้น ทั้งทางตรง หรือทางอ้อม เช่น การเจ็บป่วย การถูกทำร้าย การสูญหาย ความล่าช้า หรือ จากอุบัติเหตุต่างๆ ฯลฯ

o การตอบปฏิเสธการเข้าและออกเมืองของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าหรือออกเมือง อันเนื่องมาจากมีสิ่งผิดกฏหมาย หรือเอกสารการเดินทางไม่ถูกต้อง หรือการถูกปฏิเสธในกรณีอื่นๆ

o  การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสายการบินเช่น การยกเลิกเที่ยวบิน / เครื่องดีเลย์ / กระเป๋าสัมภาระมาไม่ครบ / การขึ้นราคาค่าตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น

o บริษัทฯ มีสิทธ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางประการในทัวร์นี้ เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยจนไม่อาจแก้ไขได้

o หากท่านถอนตัวก่อนรายการท่องเที่ยวจะสิ้นสุดลง ทางบริษัทฯ จะถือว่าท่านสละสิทธิ์และจะไม่รับผิดชอบค่าบริการที่ ท่านได้ชำระไว้แล้ว ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

o บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อการห้ามออกนอกประเทศ หรือ ห้ามเข้าประเทศ อันเนื่องมาจากมีสิ่งผิดกฎหมาย หรือ เอกสารเดินทางไม่ถูกต้อง หรือ การถูกปฏิเสธในกรณีอื่น

o กรณีเกิดความผิดพลาดจากตัวแทน หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนมีการยกเลิก ล่าช้า เปลี่ยนแปลง การบริการจาก สายการบิน บริษัทขนส่ง หรือ หน่วยงานที่ให้บริการ บริษัทฯ จะดำเนินโดยสุดความสามารถที่จะจัดบริการทัวร์อื่น ทดแทนให้ แต่จะไม่คืนเงินให้ สำหรับค่าบริการนั้นๆ

o มัคคุเทศก์ พนักงาน และตัวแทนของบริษัท ฯ ไม่มีสิทธิ์ในการให้คำสัญญาใดๆ ทั้งสิ้นแทนบริษัทฯ นอกจากมีเอกสาร ลงนามโดยผู้มีอำนาจของ

บริษัทฯ กำกับเท่านั้น